การทดสอบเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อวัดคุณลักษณะที่มีอยู่ภายในตัวบุคคล ที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเข้ามาเป็นสิ่งเร้าให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความสามารถทางสมองว่ามีความรู้มากน้อยเพียงใด รวมถึงด้านทักษะและด้านเจตคติ โดยเครื่องมือที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ แบบทดสอบ (Test) ซึ่งแบบทดสอบเป็นชุดของข้อคำถามที่สร้างขึ้นมาอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านเนื้อหา การดำเนินการทดสอบ ตลอดจนการให้คะแนน
แบบทดสอบสามารถจำแนกได้หลายประเภท อาทิ แบบทดสอบอิงเกณฑ์ แบบทดสอบมาตรฐานแบบทดสอบย่อย เป็นต้น ดังนั้นควรพิจารณาเลือกใช้แบบทดสอบให้เหมาะสมตามจุดมุ่งหมายของการวัด โดยส่วนใหญ่บุคคลทั่วไปคุ้นเคยกับข้อสอบที่แบ่งตามลักษณะการสร้าง สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1) ข้อสอบปลายปิด ประกอบด้วยข้อสอบหลายตัวเลือก ข้อสอบแบบถูกผิด ข้อสอบแบบจับคู่ และ 2) ข้อสอบปลายเปิด ประกอบด้วยข้อสอบอัตนัย ข้อสอบตอบสั้นและเติมคำ
การวัดและประเมินการเรียนรู้ให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการ จะต้องอาศัยแบบทดสอบที่มีคุณภาพ ซึ่งคุณสมบัติของแบบทดสอบที่มีความสำคัญที่สุด คือ ความเที่ยงตรง (Validity) และความเชื่อมั่น (Reliability) และความเป็นปรนัย (Objectivity) เมื่อแบบทดสอบใดก็ตามที่ขาดความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น และความเป็นปรนัย คะแนนที่ได้จากการทดสอบย่อมไม่มีความหมายแต่ประการใด อย่างไรก็ตาม การวัดและประเมินแนวใหม่ยังคงใช้วิธีการทดสอบ เนื่องด้วยสามารถดำเนินการได้ง่าย ประหยัดเวลา ครอบคลุมประเด็นที่ทำการศึกษา มีความเป็นมาตรฐาน เป็นปรนัยสูง ตรวจให้คะแนนได้ง่าย
ขั้นตอนในการสร้างและพัฒนาแบบทดสอบ มีดังนี้
1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการทดสอบ โดยจุดมุ่งหมายจะต้องมีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้
2. ออกการสร้างแบบทดสอบ การออกแบบและสร้างแบบทดสอบผู้สอนจะต้องวางแผนการทดสอบว่าเป็นการทดสอบประเภทใด กำหนดรูปแบบของแบบทดสอบว่าเป็นองกลุ่มหรืออิงเกณฑ์ เขียนตอบหรือเลือกตอบ จากนั้นสร้างผังการทดสอบ
3. เขียนข้อสอบ
4. ทดลองใช้และวิเคราะห์ข้อสอบ หรือนำมาทบทวนด้วยเหตุด้วยผล
5. นำแบบทดสอบไปใช้ โดยคำนึงถึงปัจจัยรอบด้านต่าง ๆ ทีมีอิทธิพลต่อการแสดงความสามารถในการตอบคำถามของผู้เรียน ตั้งแต่คำสั่ง ระยะเวลาในการตอบ เงื่อนไขการสอบ และการตรวจให้คะแนน
6. การตรวจให้คะแนน ในการตรวจให้คะแนนจะต้องมีความเป็นปรนัย โดยองค์ประกอบที่จะช่วยให้การตรวจให้คะแนนมีความเป็นปรนัยมากขึ้น คือ มีการบันทึกคำตอบที่ชัดเจนและสมบูรณ์ มีการเตรียมคำตอบถูกไว้สำหรับตรวจให้คะแนน และมีการระบุเกณฑ์การให้คะแนน
7.การนำผลไปใช้ ผู้สอนจะต้องรายงานผลการทดสอบ นำผลการทดสอบไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและปรับปรุงการสอนของผู้สอน
8. วิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบ
9. ปรับปรุงแบบทดสอบ
ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาผนวกกับการทดสอบ และได้มีการพัฒนาและนำแอปพลิเคชั่นมาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนและทดสอบมากขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกและช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันมากยิ่งขึ้น
1. Kahoot เป็นแอปพลิเคชันที่ใช้สำหรับการสร้างข้อคำถามที่เป็นรูปแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ ในการทำข้อคำถามแต่ละข้อจะจำกัดเวลาในการตอบ และเมื่อผู้เรียนตอบคำถามเสร็จสิ้นจะแสดงผลการตอบในรูปของคะแนนทันที ซึ่งการใช้แอปพลิเคชันนี้ผู้เรียนจะต้องใช้สมาร์ทโฟนในการเลือกคำตอบ
2. Plickers เป็นแอปพลิเคชั่นที่ใช้ในการสร้างแบบทดสอบ โดยที่ผูเรียนไม่ต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการเข้าถึงแอปพลิเคชันนี้ แต่จะใช้กระดาษที่พิมพ์โค้ดในการหมุนตัวเลือก A B C และ D ในการเลือกคำตอบ ซึ่งผู้สอนสามารถตรวจคำตอบด้วยการสแกนคำตอบผ่านสมาร์ทโฟน
3. Socrative เป็นแอปพลิเคชันที่ใช้ในการสร้างควิซ (Quiz) หรือแบบทดสอบออนไลน์ ผู้สอนสามารถสร้างข้อคำถามได้หลากหลายรูปแบบทั้งแบบถูกผิดและแบบเติมคำ เพื่อทดสอบความเข้าใจของผู้เรียนในเนื้อหาที่ได้ทำการเรียนการสอนไปแล้ว ซึ่งเมื่อผู้เรียนเข้ามาทำการทดสอบแอปพลิเคชันจะแสดงผลการตอบทันที โดยการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ที่ทำการติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าว
4. ZipGrade เป็นแอปพลิเคชันที่ใช้ในการตรวจข้อสอบแบบปรนัยที่สามารถแสดงผลได้ทันที ซึ่งผู้สอนต้องจัดเตรียมกระดาษคำตอบที่ทางแอปพลิเคชันออกแบบไว้ เมื่อนักเรียนส่งกระดาษคำตอบที่ทำการฝนคำตอบเรียบร้อยแล้ว ผู้สอนสามารถใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ตในการสแกนเพื่อตรวจคำตอบและคำนวณผลคะแนนได้ทันที
5. https://quizizz.com เป็นเว็บไซต์ที่ใช้ในการสร้างแบบทดสอบออนไลน์ e-Testing โดยผู้เรียนสามารถทำแบบทดสอบผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ก แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ที่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เมื่อผู้เรียนเข้ามาทำการทดสอบก็จะสามารถทราบผลการสอบทันที ส่วนผู้สอนก็จะได้รับรายงานผลการทดสอบ (Report) และสามารถบันทึกลงเครื่องคอมพิวเตอร์ได้